Klook: จากความไม่สะดวกสบาย ไปสู่ความสำเร็จ
ผู้ก่อตั้ง klook ได้เปลี่ยนจากความไม่สะดวกสบายมาเป็นเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้อย่างไร
Eric Gnock Fah และ Ethan Lin เคยทำงานในธนาคารด้านการลงทุนที่ประเทศลอนดอน และพวกเขาได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศเนปาล พวกเขาทั้งสองได้พบกับวิถีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากที่นั่น ทันใดนั้นพวกเขสก็เห็นโอกาสในการทำธุรกิจ จนได้สร้าง Klock ขึ้นมา แต่ก่อนจะมา Klock ได้ใช้ชื่อว่า Keep looking มาก่อน
มันคงไม่ดีถ้าพวกเขาต้องถือเงินเป็นพันๆดอลลาร์ในระหว่างทริป อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับไปในปี 2013 แทบไม่มีร้านค้าร้านไหนเลยที่ยอมรับชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดในเนปาล พวกเขาใช้จ่ายทุกอย่างด้วยเงินสดทั้งหมด
และนี่ทำให้พวกเขาเห็นช่องทางในการทำธุรกิจ โดยการมองหานักวิศวะกรด้านซอฟแวร์ใน LinkedIn และในที่สุดพวกเขาก็ได้ก่อตั้ง Klook ด้วยกันในปี 2014 1 ปีต่อมา พวกเขาได้คิดค้นแอพพลิเคชั่นมือถือที่มีวางขายในร้าน iTune ถึง 14 แห่ง ทั่วเอเชีย
และด้วยความบังเอิญรองประธานของ Matrix Partner ในประเทศจีนได้สนใจในตัวแอพพลิเคชั่นนี้ จากนั้น Zhuyan Li ได้ลงทุนใน Klook และได้กลายเป็นนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในลำดับต้นๆของบริษัท รวมไปถึง Golfman Sach และ Sequoia อีกด้วย
Klook ได้เปิดออฟฟิศถึง 20 แห่งทั่วโลก พร้อมกับมีพนักงานมากกว่า 1,000 คน ซึ่งรวมไปถึงยุโรป, อาร์มสเตอร์ดัม, บาร์เซโรน่า และลอนดอน
มากกว่า 1,000 กิจกรรมและบริการการท่องเที่ยวใน 300 เมือง เว็บไซด์ได้มีคนเข้าเยี่ยมชมถึง 30 ล้านคนต่อเดือน บริษัทยังมีหุ้นส่วนมากกว่า 10,000 คนทั่วโลก
Klook ให้บริการอะไรบ้าง?
โดยพื้นฐานแล้วบริษัทเสนอแค่สิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ แผนการท่องเที่ยวแบบชำระเงินล่วงหน้า ลูกค้าสามารถเลือกกิจกรรมต่างๆได้ ในระหว่างการท่องเที่ยว, ร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งพาหนะที่ใช้ในการเดินทางผ่านทางแอพพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์นั่นเอง และการชำระเงินล่วงหน้า จะช่วยให้คุณไม่เจอปัญหาการใช้เงินเกินงบประมาณได้ อีกทั้งยังป้องกันความเสี่ยงในการถือเงินเป็นจำนวนมากๆ
อย่างไรก็ตาม Klook ไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายกับการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม เนื่องจากสองสิ่งนี้ค่อนข้างซับซ้อน
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการบริการสองสิ่งนี้ แต่บริษัทก็ทำเงินไปได้ถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ มากไปกว่านั้น Softbank ได้ลงทุนใน Klook ถึง 225 ล้านดอลลาร์อีกด้วย
โดยลูกค้า 35% มาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ และ Klook ไม่ต้องการไปแข่งขันกับธุรกิจท้องถิ่นอย่าง Ctrip แต่เขากลับโฟกัสไปที่ธุรกิจแบบ Outbound มากกว่า