การเปรียบเทียบความได้เปรียบของค่าจ้าง
พวกเราเรียนรู้คุณค่าของตัวเองจากค่าจ้างที่ได้รับ ค่าจ้างเป็นตัวชี้นำให้พวกเราเลือกงานที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ยกตัวอย่างเช่น นักคณิตศาสตร์ได้ค่าจ้างเทียบเท่ากับนักวิศวกร และได้ค่าจ้างสูงกว่าอาชีพครู มากไปกว่านั้นนักวิศกรสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีกว่าอาชีพครู ทั้งนี้ทั้งนั้นอัตรากำไรขั้นต้นและค่าเสียโอกาสส่งผลให้พวกเราสามารถสร้างผลกำไรได้สูงขึ้นผ่านการวางแผนการดำเนินงานที่ดีขึ้น หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ยิ่งคุณมีทักษะที่หลากหลายมากเท่าใด โอกาสในการเปลี่ยนแปลงก็จะมีสูงมากเท่านั้น และข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น Michael Jordan นักกีฬาบาสเกตบอลและเบสบอลชื่อดัง มากไปกว่านั้นเขายังเป็นนักกีฬาที่ไม่เหมือนใคร มีความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เหนือกว่านักกีฬาคนอื่นๆ
เขาสามารถทำลายบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว เพราะความสามารถและขนาดที่เหลือเชื่อของเขา เขาสามารถทาสีบ้านทั้งหลังเสร็จภายใน 8 ชั่วโมง ในขณะเดียวกันเขายังสามารถถ่ายทำโฆษณาทางโทรทัศน์ซึ่งจะทำให้เขามีรายได้สูงถึง 50,000 ดอลลาร์ ในทางกลับกันเพื่อนบ้ายของJorden Joe สามารถทาสีบ้านทั้งหลังโดยใช้เวลาสูงถึง 10 ชั่วโมง และทำงานในร้านอาหารได้รับค่าจ้างเพียง 100 ดอลลาร์
จากตัวอย่างข้างต้น Joe มีความสามารถเหมือนกับ Michael Jordan แต่ Michael Jordan สามารถทำงานได้รวดเร็วและเก่งกว่า เพราะฉะนั้นงานที่ดีที่สุดคือ การให้ Michael Jordan ถ่ายทำรายการทีวีและจ่ายเงินให้ Joe เพื่อถ่ายทำที่บ้านของเขา ตราบใดที่ Michael Jordan ได้รับเงิน $50,000 ตามที่คาดไว้ และ Joe ได้รับเงิน $100 จากการทำงานในร้านอาหาร แสดงให้เห็นว่า ชุดทักษะของทั้งสองคนมีความแตกต่างกัน สุดท้ายแล้ว Michael Jordan และ Joe อาจพบว่านี่เป็นการจัดการที่ดีที่สุดสำหรับผลประโยชน์ของทีม