1. อย่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดในการสร้างผลตอบแทนเพียงล็กน้อยก็คือ การควบคุมเงินทุน ยกตัวอย่างเช่น เงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนมา (dividend reinvestment program หรือ DRIP)
มีการคิดค่าธรรมเนียมอยู่ที่ $2 ต่อหนึ่งการลงทุน และถ้าคุณสามารถนำเงินไปลงทุนจำนวน $50 ต่อเดือน ต้นทุนการลงทุนของคุณจะเป็น 4% ของเงินต้นนั่นเอง
แต่ปัญหาสำหรับนักลงทุนหลายคนก็คือ พวกเขาไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายประเภทไหนที่ควรหลีกเลี่ยง หรอค่าใช้จ่ายไหนที่จำเป็น มากไปกว่านั้นในสังคมเรายังมีช่องว่างระหว่างฐานะ ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นระหว่างฐานะการเงินระดับมั่งคั่ง, กลาง และล่าง
ดังนั้นคุณจะต้องรู้ว่าค่าธรรมเนียมแบบไหนที่คุ้มค่าหรือแบบไหนที่เปล่าประโยชน์
2. ให้ความสนใจในเรื่องของภาษีและเงินเฟ้อ
อีกปัจจัยหนึ่งที่คุณจะต้องให้ความสนใจก็คือ กำลังในการซื้อสินค้าและบริการ นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจไปที่ผลตอบแทนก่อนเสียภาษีมากกว่าผลตอบแทนหลังหักภาษีเรียบร้อยแล้ว หรือบางคนกลับไม่สนใจในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อเลย
ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้านักลงทุนจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง สุดท้ายแล้วนักลงทุนอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่พวกเขาควรจะได้
3. รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรขายหุ้น
เรามี 3 ปัญหาที่จะช่วยให้คุณการขายหุ้นได้แบบง่ายๆ ซึ่งนั่นก็คือ ข้อแรก ผลตอบแทนแทบจะไม่เห็นเลย ข้อที่สอง อัตราการเติบโตของหนี้สินที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อที่สาม คุณธรรมด้านการบริหารจัดการองค์กรไม่มีความชัดเจน
คุณธรรมด้านการบริหารจัดการองค์กร หมายถึง ไม่ว่าหุ้นจะราคาถูกแค่ไหนก็ตาม ถ้าผู้บริหารมีความคดโกง ยังไงซะ คุณก็จะต้องถูกโกงอย่างแน่นอน
4. คุณไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นในทุกๆ การลงทุน/หุ้น
หน่งในปัจจัยที่นักลงทุนมีโดยทั่วไปก็คือ พวกเขาไม่มีความคิดเห็นในเรื่องของหุ้นเลย ซึ่งบริษัทโบรกเกอร์ใหญ่ๆ, กลุ่มบริหารจัดการสินทรัพย์ และธนาคารเชิงพาณิชย์ต่างๆ กลับให้คำแนะนำว่า สินทรัพย์ที่ทำการซื้อขายจะต้องมีการเรียงลำดับเรท เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านั้นสามารถดึงดูดนักลงทุนได้
ถ้าคุณโฟกัสเพียงแค่ตัวอย่างการลงทุนด้านบนนี้ โดยคุณจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และมองหาโอกาสในการทำกำไรซึ่งอาจเป็นโอกาสที่นานๆทีจะมา หรืออาจเป็นปีๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เชื่อเถอะค่ะว่า คุณกำลังพัฒนาการลงทุนได้ดีกว่านักวิเคราะห์จาก Wall Street เสียอีก