ธุรกิจฮ่องกงถดถอยลงเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และเศรษฐกิจโลก และถ้าการประท้วงในฮ่องกงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจในฮ่องกงอาจแย่ลงไปอีกได้
มากไปกว่านั้นจากเหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้ยังส่งผลร้านต่อภาพลักษณ์ของประเทศอีกด้วย และถ้าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง อาจส่งผลให้นักลงทุนในฮ่องกงลดลงเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ในไตรมาสที่สอง GDP ของฮ่องกงเพิ่มสูงขึ้น 0.6% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่หนึ่ง แต่กลับหดตัวลง 0.3% จากผลสำรวจของ Bloomberg โชว์ว่า ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ
และคล้ายกันนี้ตลาดเอเชียอื่นๆ ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจก็ถดถอยลงด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมไปถึงอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าส่งออก
มากไปกว่านั้นการประท้วงในฮ่องกงยังส่งผลกระทบไม่ดีต่ออุตสาหกรรมอืนๆ การท่องเที่ยวและร้านค้าต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ดารประท้วงครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบด้านเวลาทำการของธุรกิจต่างๆอีกด้วย
Iris Pang นักเศรษฐศาสตร์ของประเทศจีนที่ ING เผยว่า “ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าเล็กๆ บนถนนหรือห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ธุรกิจรูปแบบนี้ส่วนใหญ่เปิดทำการในเวลาที่สั้นลง เพราะพวกเขาต้องรอจนกว่านักประท้วงจะประท้วงเสร็จ”
เมื่อมองไปที่พัฒนาการในปัจจุบัน การประท้วงในฮ่องกงส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน ถ้าการประท้วงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
การประท้วงครั้งนี้เกี่ยวกับอะไร
การประท้วงเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตทางการเมืองที่ร้ายแรงที่สุดของฮ่องกงในรอบสองทศวรรษ เพราะในอดีตอาณานิคมของอังกฤษ ชาวฮ่องกงได้คัดค้านความคิดที่พวกเขาอาจจะต้องเข้าร่วมกับจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 2047
หลังจากที่การประท้วงครั้งนี้ผ่านไปกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว รัฐบาลได้ออกกฎเรื่องการส่งผู้ร้ายขามแดน จนทำให้ Carrie Lam ได้ปฎิเสธที่จะยกเลิกแผนการที่เป็นข้อโต้แย้งกันอยู่นี้ เพื่อส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากฮ่องกงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ จนทำให้เกิดความโกรธ
ในปัจจุบันคนในประเทศต้องการประชาธิปไตยที่ดีกว่า และหนึ่งในความต้องการของพวกเขาก็คือ ต้องการให้ผู้บริหารลาออกจากตำแหน่ง
จนกระทั่งตอนนี้เรื่องการประท้วงนี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะไปหยุดง่ายๆ และ Bloomberg
ยังเผยอีกว่า ผู้ประท้วงยังได้เตรียมการบางอย่างสำหรับการประท้วงครั้งต่อไปในวันหยุดนี้