Shell รายงานกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
Shell บริษัทน้ำมันจากประเทศอังกฤษยักษ์ใหญ่ รายงานเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ในไตรมาสที่สอง กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ $11.5 พันล้าน
ความต้องการน้ำมัน และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากสงครามยูเครน ส่งผลให้ Shell ทำกำไรไปได้สูงสุดรายไตรมาส ถึงแม้ว่าจะขาดทัุนจากการถอนธุรกิจในรัสเซีย
บัญชีของบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ ไม่ได้ปรับผลขาดทุนจากรัฐเซียและราคาวัตถุดิบ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ $16.7 พันล้าน ซึ่งสูงขึ้น $5.2 พันล้าน
กำไรสุทธิในไตรมาสที่หนึ่งอยู่ที่ $9.1 พันล้าน ซึ่งเกิน $20 พันล้านในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว และนั่นก็หมายความว่า Shell มีกำไรสุทธิมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ทุกวันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ราคาน้ำมันต่างประเทศเพิ่มขึ้น 140% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ และพุ่งสูงขึ้นเฉลี่ย 114 ดอลลาร์ต่อบาเรลห์ในช่วงไตรมาสที่สอง เนื่องจากสงครามยูเครน ซึ่งเป็นเหตุผลหลักของการพุ่งสูงขึ้นของราคาน้ำมันในครั้งนี้
กำไรสุทธิโดยรวมของ Shell อาจเกิน 30 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเกิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อสองปีที่แล้ว ที่เกิดโควิด 19 กำไรของ Shell ร่วงครั้งแรกในรอบ 80 ปีของประวัติศาสตร์ โดยบันทึกการขาดดุลที่ 4.3 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามสถานการณ์กลับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันระหว่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น
Shell วางแผนที่จะซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวน $6 พันล้านด้วยผลกำไรมหาศาล ซึ่ง Shell ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะผลกำไรทั้งหมดของบริษัทและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกันแน่ และยังไม่คำนึงถึงผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น โดย Shell ได้ซื้อคืนหุ้นครั้งแรกด้วยมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์
มากไปกว่านั้นผู้กลั่นน้ำมัน อย่าง Total, BP, Exxon Mobil และ Sevron คาดว่า จะประกาศผลกำไรรายไตรมาสในช่วงสัปดาห์นี้และต้นสัปดาห์หน้า