Ford มีแผนที่จะปลดพนักงาน เพื่อยกระดับธุรกิจ
Ford ผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคารว่า เขามีแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานจำนวน 3,000 คน เพื่อทำการจัดระเบียบองค์กรใหม่
Ford ประกาศผ่านอีเมลล์ภายในว่า พวกเขาจะลดพนักงานประจำประมาณ 2,000 คนลง และอีก 1,000 คนเป็นพนักงานตามสัญญาจ้างในสหรัฐฯ และอินเดีย
เมื่อเดือนที่แล้ว Bloomberg รายงานว่า Ford จะลดจำนวนพนักงานสูงถึง 8,000 คน อย่างไรก็ตามด้วยระบบของฟอร์ดซึ่งมีมายาวนานกว่า 100 ปีในฐานะรถยนต์เครื่องยนต์เผนไหม้ภายใน การลดพนักงานกลับถูกมองว่า นี่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง มากไปกว่านี้ยังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์อัตโนมัติรายอื่นๆ อีกด้วย ที่กำลังเพิ่มการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า
Wall Street Journal (WSJ) เผยว่า ในอีเมลล์ที่กล่าวข้างต้น ซึ่งถูกลงชื่อโดยประธาน Bill Ford และ CEO Jim Farley กล่าวว่า “Ford กำลังเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน และจัดการทรัพยากรในองค์กรใหม่ เนื่องจากพวกเขาต้องการเน้นไปที่เทคโนโลยีตัวใหม่ ซึ่งการบริหารจัดการแบบเก่าไม่ใช่กุญแจหลักในการดูแลธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาซอฟแวร์ระดับสูงสำหรับรถยนต์ เป็นต้น”
“นี่เป็นเวลาที่ยากลำบากและค่อนข้างหวั่นไหว สำหรับเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่ต้องออกจากบริษัท และฉันต้องการที่จะขอบคุณพวกเขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พวกเขาได้ทำขึ้น” Bloomberg กล่าวในอีเมลล์
มากไปกว่านั้นในอีเมลล์ยังกล่าวอีกว่า “เพื่อสร้างอนาคตข้างหน้า พวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และสร้างสรรค์วิธีการใหม่ ในทุกด้านที่เราดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 100 ปี”
มากไปกว่านั้น CEO Pali ได้วินิจฉัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า Ford มีพนักงานมากเกินไป และพนักงานเหล่านั้นไม่มีความชำนาญในเรื่องของการแปลงกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งด้วยซอฟต์แวร์ เขากล่าวว่า เป้าหมายของเขาคือ เพื่อลดต้นทุนจำนวน $3 พันล้าน (ประมาณ 4.29 ล้านล้านวอน) ต่อปีภายในปี 2026 พร้อมกับเป้าหมายในการบรรลุอัตรากำไรก่อนหักภาษี 10%
Washington Post (WP) เผยว่า นโยบายการลดพนักงานเกิดขึ้นเมื่ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่ Ford ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ที่ $3.7 พันล้าน ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วถึงสามเท่า (วันที่ 27 เดือนที่ผ่านมา)
Ford กำลังลงทุนเพื่อลดช่องว่างของกำไรกับ Tesla ซึ่งเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า โดยเขากำลังวางแผนที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าด้วยเงินมูลค่า $50 พันล้าน ภายในปี 2026 ซึ่งตั้งเป้ายอดขายจากทั่วโลกที่ 2 ล้านคัน