มากไปกว่านั้นโบรกเกอร์ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ discount and full-service brokers
เพราะฉะนั้นเรามาดูความหมายและข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองประเภทนี้กันเลยค่ะ
Discount Brokers
Discount brokers ทำหน้าที่เทรดเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของลูกค้า แต่พวกเขาจะไม่ให้คำแนะนำใดๆก็ลูกค้าเลย และพวกเขาจะได้ผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิสชั่นอยู่ที่ประมาณ $5-$15 ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ดังนั้นโครงสร้างค่าธรรมเนียมของการเป็นโบรกเกอร์ประเภทนี้ค่อนข้างต่ำ เพราะขึ้นอยู่กับปริมาณและต้นทุนที่ทำการเทรดนั่นเอง ทำให้โบรกเกอร์เหล่านี้มักจะไม่ให้คำแนะนำกับลูกค้า เนื่องจากพวกเขาได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน ไม่ใช่ค่าคอมมิสชั่น ดังนั้น Discount brokers ส่วนใหญ่มักจะเสนอโปรแกรมการเทรดแบบออนไลน์ เพื่อที่จะดึงดูดจำนวนนักลงทุนโดยตรงนั่นเองค่ะ
สำหรับบัญชีนี้จะไม่มีใครเป็นคนกลางระหว่างเงินของคุณและตัวคุณเอง เพราะฉะนั้นคุณสามารถทำอะไรก็ได้กับเงินของคุณ ซึ่งรวมไปถึงการขายในช่วงตึงเครียดหรือการซื้อในช่วงที่ตลาดกำลังบูมก็เป็นได้
สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนแล้ว พวกเขามักจะบริหารจัดการเงินทุนของตนเอง เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินค่าบริการที่พวกเขาไม่ต้องการ
และด้วยเหตุนี้ discount brokers จะได้รับเงินเดือนผ่านโปรแกรมการเทรด ส่วนตัวนักเทรดเองจะต้องรับมือกับออเดอร์การซื้อขายของตนเองนั่นเองค่ะ
Full-service Brokers
Full-service Brokers หรือ Traditional Brokers จะให้บริหารในเรื่องของการเทรดและให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาด้านการลงทุน ดังนั้นบริการของพวกเขาจึงมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยการตลาด, คำแนะนำด้านการลงทุน และการวางแผนเมื่อเกษียณอายุ ด้วยเหตุนี้ทำให้นักลงทุนจึงมีการจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิสชั่นที่ค่อนข้างสูง
โบรกเกอร์จะได้รับผลตอบแทนจากบริษัทนายหน้า โดยอ้างอิงจากปริมาณการเทรดและยอดขายของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ยกตัวอย่างเช่น บัญชีการบริหารการลงทุน ค่าคอมมิสชั่นที่สูงมักถูกคำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมด และมีการจ่ายค่าคอมมิสชั่นในทุกๆปี โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1-2% หรือมากกว่านั้น
จากเปอร์เซ็นต์ที่กล่าวข้างต้นอาจดูเหมือนจะเล็กน้อย แต่ถ้าคุณลองมองไปที่จำนวนเงินของค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการในแต่ละปี จะพบว่า แค่หนึ่งบัญชี จำนวนเงินสูงถึง $100,000 แล้วค่ะ