ประเทศเวียดนามหลังโคโรน่าไวรัส
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ประเทศเวียดนามนั้น เป็นหนึ่งในประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นลำดับต้น ๆ เลยทีเดียวในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แต่ถ้าว่าท่ามกลางการเติบโตของเวียดนาม เมื่อมาเจอกับจุดสะดุดครั้งใหญ่ อย่างการเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 ขึ้น ก็ทำให้การเติบโตที่เป็นเหมือนดาวรุ่งพุ่งแรงก็เป็นอันชะงักหรือชะลอตัวลงได้เช่นกันในบทความที่ผ่านมาเราได้มีการพูดถึงทิศทางแนวโน้มของประเทศไทยหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสกันไปแล้ว สำหรับในบทความนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่า ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเวียดนามนั้นมีนักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าจะดำเนินกิจกรรมและสภาพทางเศรษฐกิจไปในทิศทางใดบ้าง
ประเทศเวียดนามก่อนวิกฤตไวรัสโคโรน่า
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงประเทศเวียดนามหลังโคโรน่านั้น เรามาท้าวความถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามก่อนเกิดวิกฤตินี้กันดีกว่าครับ เวียดนามนับว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากมาย มีทุนต่างชาติไหลเข้ามาในเวียดนาม ซึ่งนั่นเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนี้ครับ นอกเหนือไปจากนี้ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยสาเหตุที่ผมต้องเท้าความถึงลักษณะเศรษฐกิจของเวียดนามเสียก่อน ก็เพื่อจะกล่าวถึงต่อไปว่าโควิด-19นั้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้าง
สาเหตุจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ในนานาประเทศทั่วโลก ทำให้เกิดมาตรการอันเข้มงวดมากมายไม่ว่าจะเป็นการปิดประเทศ การล็อคดาวน์ การตรวจตราผู้คนและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศอย่างเข้มงวดกวดขันนอกจากนี้มันยังทำให้ปริมาณดีมานด์ต่อสินค้าต่างๆนั้นลดลงอีกด้วย ซึ่งนั่นกระทบกับประเทศที่ต้องส่งออกอย่างแน่นอนครับ โดยจะเห็นได้ว่าประเทศไทยเองก็เผชิญหน้ากับความถดถอยเนื่องจากไม่สามารถส่งออกสินค้าได้เท่าเดิมเช่นกัน ซึ่งในทำนองเดียวกันเวียดนามเองก็เผชิญหน้ากับปัญหานี้ จนทางเวียดนามตัดสินใจลดเป้าหมายการเติบโตของการส่งออกของประเทศเป็นประมาณ 4% เมื่อเทียบกับ 7% ที่ได้วางแผนไว้ตามแถลงการณ์ก่อนหน้าครับ
แล้วประเทศเวียดนามหลังโคโรน่าไวรัสน่าจะเป็นอย่างไร
จากแถลงการของนายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุก แห่งเวียดนาม ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เวียดนามจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น และมุ่งมั่นที่จะบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า 5% ในปีนี้ ซึ่งนี่อาจเป็นความจำเป็นของธนาคารกลางในการช่วยเหลือผู้ปล่อยกู้เชิงพาณิชย์เพื่อลดต้นทุนของเงินทุน เพื่อให้พวกธนาคารสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงในการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ให้นักลงทุนสามารถกู้เงินดอกเบี้ยต่ำไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อได้นั่นเอง โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่า ในอนาคตเวียดนามจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครับ
อย่างไรก็ตามการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเท่าที่ควรครับ เนื่องจากขาดความต้องการต่อสินเชื่อท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ดังนั้น เราจึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเวียดนามจะมีมาตรการใดอีกในอนาคต
ทว่านอกเหนือไปจากนั้น แม้ว่าเวียดนามจะพบกับความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวเลขต่าง ๆ ของเวียดนามเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันนั้น นับได้ว่าดีกว่ามาก ดังนั้น เราจึงสามารถคาดการณ์ได้อย่างค่อนข้างแน่นอนว่า ประเทศเวียดนามหลังโคโรน่าไวรัส จะเป็นหนึ่งในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ว่องไวกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกันครับ