ณ สุดปลายทางของการบีบคั้น: คนรุ่นใหม่กับลูกไม้ที่เดิมที่อาจใช้ไม่ได้ผล
ผมมองไปยังท้องถนน ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน… ผมเคยไปร่วมการชุมนุมในบางครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป ผู้คนที่คราคร่ำท้องถนนในตอนนี้ไม่ใช่คนรุ่นผมอีกแล้ว แต่กลับเป็นเยาวชน เป็นคนรุ่นใหม่ วัยรุ่นที่ดวงตาสดใส แต่งตัวสวยงามไม่ยึดติดสีสัน อาจจะเป็นวินาทีนั้นเองที่ผมตระหนักขึ้นมาได้ว่า คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะยอมแพ้ และเก็บความดื้อรั้น ความยึดติดในอดีตทิ้งไป… เพราะนี่คือช่วงเวลาของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องอนาคตของตัวเอง
สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองเรายังคงมีเรื่องราวไม่จบไม่สิ้นของการชุมนุมระหว่างรัฐบาล และประชาชนกลุ่มต่อต้าน ซึ่งตัวผมเองนั้น เรียกได้ว่ามีความจำเป็นต้องเดินทางไปแถวสยามอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบได้ผ่านบรรยากาศของผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอกมาบ้าง ซึ่งผมเองต้องยอมรับเลยว่า ในชีสิตของผมที่เคยไปมาทั้งม็อบเสื้อเหลือง ม็อบกปปส. พบว่าบรรยากาศการชุมนุมของเหล่าคนรุ่นใหม่นี้นั้นมีความแตกต่างออกไปอย่างมาก เพราะสงบ สะอาด ไม่มีเครื่องเสียงปราศัยชุดใหญ่ และไม่มีการนำสีเสื้อมาเป็นสัญลักษณ์แต่อย่างใด
ในตอนแรกนั้น ผมเองมองว่า การชุมนุมของคนรุ่นใหม่ที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้ อาจไม่ได้สร้างแรงกดดันที่มากพอ และในที่สุดก็จะคล้ายกับเพลิงที่ค่อย ๆ มอดดับไปเองจากความเหนื่อยล้าของการเดินทางมาชุมนุมแบบไป-กลับทุกวัน มันคงจะเป็นเช่นนี้… หากไม่ใช่ว่าฝ่ายรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ใส่เชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟเสียเอง
เมื่อการบีบคั้นกลับไม่ใช่การทำให้อ่อนแรง
การพยายามสลายการชุมนุมนั้นเกิดขึ้น ตามมาด้วยการจับแกนนำ โดยเชื่อว่า หากปราศจากแกนนำแล้ว กลุ่มมวลชนคนรุ่นใหม่ก็จะเป็นเหมือนมังกรไร้เศียร ไปไหนไม่ถูก ทว่าเรื่องนี้อาจใช้ไม่ได้กับยุคปัจจุบันที่การสื่อสารทำได้ง่าย การจะนัดหมายชุมนุม กระจาข่าวสารนั้น ทำได้ผ่านอินเทอร์เน็ทภายในเวลาไม่กี่วินาที ดังนั้น แม้ขาดแกนนำไป ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่จะไม่สามารถนัดกันดำเนินกิจกรรมได้ จนตอนนี้การชุมนุมกลายเป็นรูปแบบไร้แกนนำ ทุกคนสามารถเป็นแกนนำได้ และการจับกุมตัวนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็เป็นดั่งการเพิ่มความโกรธให้กับคนรุ่นใหม่ที่ยิ่งออกมาเรียกร้องให้ #ปล่อยเพื่อนเรา กัน กล่าวได้ว่า การพยายามบีบคั้นของรัฐบาลในครั้งนั้น กลับกลายเป็นเหมือนการสุมเพลิงความโกรธลงไปเสียมากกว่า
เติบโตมาต่างยุคต่างสมัย
ต้นไม้ชนิดเดียวกัน หากเติบโตท่ามกลางดิน ปุ๋ย สภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ผลลัพธ์ของต้นไม้นั้นย่อมออกมาต่างกัน ผู้คนเองก็ด้วย คนยุคก่อนอย่างเรา อาจจะเติบโตมาในสภาวะสังคมที่การยอมก้มหัวต่ออำนาจเป็นเรื่องปกติ ยุคที่ข่าวสารและองค์ความรู้ไม่ได้เข้าถึงได้ง่าย เรามักเสพสื่อและความจริงเพียงด้านเดียวจากหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ และความไม่รู้ก็นำมาซึ่งความหวาดกลัว ทว่าคนรุ่นใหม่นั้นต่างออกไป พวกเขาเกิดมาในยุคที่อินเทอร์เน็ทไวกว่าการส่งโทรเลขร้อยเท่า อิสระคือสิ่งที่พวกเขามี และหวงแหน ยามเมื่อถูกคนพยายามจะริดรอนไป พวกเขาย่อมไม่อาจยอม คนรุ่นใหม่ไม่เกรงกลัว ไม่ใช่เพราะไม่เคารพ แต่เพราะพวกเขาเข้าถึงความจริงหลากหลายชุดมากกว่า ได้คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตัวเอง และในบางครั้ง ความจริงนั้นก็ยากเกินกว่าที่คนรุ่นเก่าจะยอมรับ เพราะมันสั่นคลอนต่อศรัทธาที่มีมาทั้งชีวิต ด้วยเหตุนี้ ความที่เกิดมาต่างยุคสมัย ต่างสภาพแวดล้อม จึงทำให้เกิดการปะทะกันของอุดมการณ์ระหว่างคนสองรุ่นอย่างชัดเจน
ยิ่งตัดยิ่งโต
อย่างที่กล่าวไปว่า คนรุ่นใหม่นั้นไม่ก้มหัวให้กับการกดขี่ ดังนั้น การที่ถูกบีบคั้นมาก ๆ อาจไม่ได้ทำให้พวกเขายอมรับ หรือก้มหัว แต่กลับยิ่งทวีความร้อนแรงให้แก่อุดมการณ์ เช่น เรื่องที่รัฐบาลได้แบนเว็บไซต์ PORNHUB ไปนั้น ก็ได้ไปบีบคนกลุ่มหนึ่งที่เดิมอาจไม่ได้สนใจมาร่วมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพอะไรนัก ได้ออกมาสู่ท้องถนน เพราะเรื่องนี้ได้ไปคุกคามพวกเขา ดังนั้น เราอาจเห็นว่ายิ่งรัฐบาลลงมือทำอะไร ก็กลายเป็นยิ่งทำให้มวลชนคนรุ่นใหม่ยิ่งทวีกำลังมากขึ้น เพราะพวกเขาไม่ได้มีความเข้าใจสังคม และโลกที่เปลี่ยนไป ในแบบที่เราได้เห็น
ไปผิดทาง?
จากมุมมองของผมนั้น หากว่ารัฐบาลมีความคิดที่ว่า ยิ่งไล่ต้อน ยิ่งบีบคั้น พลังคนรุ่นใหม่ก็จะฝ่อสลายลงไปเอง นั่นเป็นความคิดที่อาจจะไปผิดทาง เพราะคนรุ่นใหม่นั้นให้ค่ากับความจริง และความเสมอภาคที่สุด แทนที่รัฐบาลหรือฝ่ายไหนก็ตามจะยิ่งปิดบัง ยิ่งเมินเฉย สู้ออกมาชี้แจง พูดคุยกันถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ อย่างจริงใจ ยังน่าจะเข้าทางเสียมากกว่า
แต่หากรัฐบาลจะยังคงเล่นแผนเดิม ๆ ในการต้อนคนให้จนตรอก ผมเองก็ไม่อาจทราบได้ว่า ณ สุดปลายทางของการบีบคั้น จะมีอะไรรออยู่กันแน่